วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2552

DVD เรื่องจริงที่เหลือเชื่อ

ท่านที่สนใจในเรื่องเหลือเชื่อต่างๆในรูปแบบ DVD มีทั้งหมด 9 แผ่น รวมแล้ว 35 เรื่อง ในราคาแผ่นละ 150 บาท ค่าส่งไปรษณีย์ครั้งละ 30 บาท สนใจโทรติดต่อที่ 089-925-6990
ม้วนที่1 ช้างน้ำ วิปัสสนารักษาโรค ซีอุย ภูทอก

ม้วนที่ 2 1.ร่างอมตะ 2.ระลึกชาติ 3.โค้งมรณะ 4.ปาฎิหารเงาเจดีย์ 5.พระพุทธบาทตากผ้า

ม้วนที่ 3 1.หมากมณีโคตร 2.ปาฎิหารย์น้ำเศียรพระ 3.ประเพณีกินเจที่ภูเก็ต 4.พระพุทธฉาย

ม้วนที่ 4 1.รูปร่างและผ่าตัดมนุษย์ต่างดาวและภาพถ่าย ufo ที่mexico 2.ถ้ำผีแมน
3.ภูผาเทิบ 4.Philladephia Experiment

ม้วนที่ 5 1.Crop Circle 2.ศาลาแก้วกู่ 3.ม้าทรง 4.Yeti 5.วัดเจดีย์หอย

ม้วนที่ 6 1.ตำนานภาพถ่ายพญานาค 2.นครคำโชนดประตูสู่เมืองบาดาล 3.สามเหลี่ยมเบอร์มิวด้า
4.ปาฏิหาริย์พระแม่มารี

ม้วนที่ 7 1.ตำนานนารีผล 2.พิพิธภัณท์สัตว์น้ำ 3.Monterey 4.UfoจากCBS 5.แสงAURA

ม้วนที่ 8 1.บทพิสูจน์นารีผลตอนที่1 2.มนุษย์ 6 นิ้ว 3.UFOในประเทศไทย 4.พลังจิต ESP

ม้วนที่ 9 1.หัตถ์พระเจ้า 2.ยักษ์วัดแจ้ง 3.ไขปริศนาภาพถ่ายพญานาค 4.บทพิสูจน์นารีผลตอนจบ

เรื่องจริงที่เหลือเชื่ออื่นๆ

ท่านสามารถติดตามเรื่องจริงที่เหลือเชื่อได้ทางวิทยุ สทร.FM 106 MHz ทุกวันอาทิตย์เวลา 23.00-24.30 หรือสามารถหาอ่านได้จาก 106 magazine เช่นเรื่องปริศนาผ้าห่อศพแห่งตูริน http://www.106familynews.com/magazine_file/PDF_03/P.70-71.pdf พลังเหนือธรรมชาติ http://www.106familynews.com/magazine_file/PDF_02/P.72-73.pdf

วันสิ้นโลก2012

2012 ตัวเลขธรรมดาๆสี่ตัวนี้ทำให้คุณนึกถึงอะไร? อนาคตอันใกล้ที่ไม่มีอะไรพิเศษไปกว่าปีอื่นๆ หรือ จุดจบของโลกและมนุษยชาติ ?

เมื่อไม่นานมานี้ภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์เรื่อง 2012 วันสิ้นโลก ได้ออกฉายไปทั่วโลก กวาดรายได้ไปอย่างมากมายมหาศาล พร้อมๆกับทำให้คนมามายขวัญผวาเพราะหวั่นว่าเหตุการ์ณนั้นจะเกิดขึ้นจริง แต่ก็มีบ้างที่หัวเราะจนท้องแข็งให้กับสิ่งที่พวกเขาคิดว่าไร้สาระสิ้นดีและไม่มีทางเป็นไปได้ แล้วคุณละคิดเช่นไร? น่าขัน หรือน่ากลัว?

วันที่ 21 ธันวาคม ของปี 2012 คือวันสุดท้ายในปฏิทิน Long count ของชาวมายัน ที่เริ่มต้นนับเมื่อ 3114 ปีก่อนคริสตกาลและกินเวลาทั้งสิ้น 5,126 ปี ซึ่งจะครบรอบในปี 2012 ที่จะถึงนี้ ตามคำทำนายกล่าวไว้ว่าในวันที่ 21 ธันวาคม 2012โลกจะเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ทั้งภัยธรรมชาติ สงคราม สิ่งต่างๆที่จะคร่าชีวิตมนุษย์ทั้งโลกและนำมาซึ่งจุดจบของโลกใบนี้

มีความเชื่อและคำทำนายมากมายเกี่ยวกับเหตุการ์ณต่างๆที่มีคนเชื่อว่าจะเกิดขึ้นในปี 2012 ซึ่งเกี่ยวข้องกับจุดจบของโลกและมนุษยชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของ ทฤษฏีขั้วโลกจะสลับขั้ว, Planet X จะโคจรมาชนโลก, อุกาบาตจะชนโลก, การเรียงตัวของกาแลกติกจะทำให้เกิดหลุมดำ, พายุสุริยะจะเผาโลก, ภูเขาไฟ Supervolcano จะระเบิด และอีกมากมายนับไม่ถ้วนที่ไม่สามารถกล่าวถึงได้หมด ผมจะขอยกตัวอย่างเรื่องที่เป็นประเด็นถกเถียงกันหลักๆออกมาชี้แจงทีละเรื่องเพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจถึงทฤษฏีและความเชื่อต่างๆว่ามีเนื้อหาและเชื่อกันว่าอย่างไรบ้าง

เกี่ยวกับทฤษฏีขั้วโลกสลับขั้วนั้น มีคนออกมาสร้างกระแสอ้างว่า องค์การ NASAได้ออกมาเปิดเผยว่าการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็กโลกจะทำให้ความเข้มข้นของสนามแม่เหล็กโลกอ่อนลง และไร้ความมั่นคงแต่ไม่ถึงกับลดลงถึงระดับศูนย์และยังอ้างอีกว่าจากการศึกษาร่วมกันของนักวิทยาศาสตร์ด้านคอมพิวเตอร์จำนวนหนึ่งกับกลุ่มนักธรณีฟิสิกส์และนักดาราศาสตร์ฟิสิกส์พบว่า ทั้งโลกและดวงอาทิตย์จะสิ้นสุดระยะเวลาที่ใช้ในกระบวนการพลิกกลับของขั้วแม่เหล็ก (Magnetic Pole Reversal) ในปี ค.ศ. 2012 ซึ่งครั้งล่าสุดที่เกิดขึ้นคือเมื่อหลายล้านปีที่ผ่านมาจนทำให้สัตว์จำพวกไดโนเสาร์สูญพันธุ์จนหมดสิ้น และได้คาดการณ์ว่าการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรงครั้งใหม่นี้จะเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2012

แต่หากลองค้นเข้าไปในเว็บของNASA เองแล้วจะไม่พบเรื่องดังกล่าวเลย แต่มีการกล่าวว่า เรื่องการสลับขั้วแม่เหล็กของโลกนั้นเป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้นได้ในอนาคต เพราะขั้วโลกนั้นเลื่อนไปเรื่อยๆ การสลับขั้วของสนามพลังแม่เหล็กนั้นจะเกิดขึ้นทุกๆ 400,000ปีโดยเฉลี่ย และจากงานศึกษาวิจัยก็ยังไม่พบว่าการสลับขั้วของสนามแม่เหล็กนี้จะเป็นอันตรายต่อสิ่งมีชีวิตบนโลก และกระบวนการนี้ก็ยังไม่มีแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในอีก สองสามพันปีข้างหน้าแน่นอน

Planet X หรือ Nibiru เป็นชื่อของดาวที่เชื่อกันว่าจะโคจรมาชนโลกในปี 2012 ว่ากันว่า ดาว Nibiru นั้น ไม่ได้อยู่ในระบบกาแล็คซี่ทางช้างเผือกแต่ มีวงโคจรที่กว้างใหญ่มาก จนมาทับซ้อนกับกาแล็คซี่นี้ เส้นทางการเดินทางของดาว นิบิรุ มีความเป็นไปได้ที่จะโคจรมาทับกับวงโคจรของโลก ซึ่งนั่นก็หมายถึง การโคจรมาชนโลกนั้นเอง นอกจากนี้ยังมีการกล่าวอีกว่า ในปัจจุบันสามารถมองเห็น นิบิรุ ได้ด้วยตาเปล่า ทางแถบขั้วโลกใต้ มีการอ้างว่านักโบราณคดีได้สันนิษฐานว่า นิบิรุเคยโคจรเข้ามาใกล้โลกแล้วหลายครั้ง เมื่อหลายพัน หลายหมื่น หลายแสนปีก่อน ข่าวลือยังอ้างว่าหากดาวดวงนี้โคจรมาที่ระบบสุริยะของดวงอาทิตย์อีกครั้ง มันจะทำให้เกิดมหันตภัยธรรมชาติที่รุนแรงเพราะแกนของดาวมีสนามแม่เหล็กอยู่ ซึ่งมันจะทำปฎิกิริยากับสนามแม่เหล็กโลก อาจจะทำให้เกิดสภาพอากาศแปรปรวนครั้งใหญ่ ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนออกมากล่าวว่า องค์การนาซ่าต้องการปิดข่าว เรื่องดาวนิบิรุเพื่อไม่ให้คนตื่นตระหนก จึงออกมาปฏิเสธว่าทั้งหมดเป็นเรื่องลวง แต่กลับไปสร้าง หอดูดาวที่ขั้วโลกใต้เอาไว้เพื่อติดตาม นิบิรุ อย่างใกล้ชิด

องค์การนาซ่าได้ออกมาตอบคำถามบนเว็บไซต์เกี่ยวกับดาวนิบิรุ นับไม่ถ้วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ซึ่งองค์การนาซ่าก็ยังยืนยันว่าเรื่องทั้งหมดเป็นเพียงแค่ข่าวลวงและความเชื่อที่พูดต่อๆกันไม่มีการค้นพบดาวนิบิรุ หรือ planet X ที่ว่าแต่อย่างใด Nibiru คือชื่อทางโหราศาสตร์ของดาวพฤหัสบดีในวัฒนธรรมบาบิโลน ไม่ใช่ชื่อทางวิทยาศาสตร์ของดาวเคราะห์ดวงใหม่แต่อย่างใด ส่วนคำว่า Planet X เป็นคำที่นักดาราศาสตร์ใช้เรียกดาวเคราะห์ลึกลับที่ไม่รู้จักแต่เชื่อว่าจะมีอิทธิพลต่อวงโคจรของดาวเคราะห์ที่รู้จักแล้ว เมื่อมีการยืนยันการค้นพบดาวเคราะห์ ก็จะตั้งชื่อสามัญให้ ดังเช่น พลูโต(Pluto) และอีรีส (Eris) ซึ่งครั้งหนึ่งก็เคยถูกเรียกว่า Planet X มาก่อน แต่ ดาวเคราะห์แคระที่ค้นพบอยู่ในเขตรอบนอกของระบบสุริยะ ไม่มีดวงใดที่มีวงโคจรเข้ามาถึงระบบสุริยะชั้นในเลย ส่วนเรื่องของหอดูดาวที่ขั้วโลกใต้นั้น นาซ่าออกมาชี้แจ้งว่าไม่ใช่หอดูดาวของนาซ่า แต่เป็นของ National Science Foundation ซึ่งเป็นกล้องโทรทรรศน์วิทยุ (radio telescope) และเหตุที่ไปสร้างที่ขั้วโลกใต้เพราะเป็นที่ที่มีความชื้นต่ำมากซึ่งทำให้สังเกตุการณ์ได้ดีกว่า และขั้วโลกก็เป็นที่ที่ดีที่สุดในการสังเกตการณ์ดาราศาสตร์ในช่วงคลื่นอินฟราเรด และวิทยุคลื่นสั้น กล้องโทรทรรศน์วิทยุ นั้นไม่สามารถถ่ายภาพได้ ดังนั้นภาพถ่ายที่อ้างว่าเป็นภาพของนิบิรุ จึงไม่เป็นจริงแต่อย่างใด

มีคำกล่าวว่าอุกาบาตรจะชนโลกในปี 2012 ซึ่งจะเป็นเหตุให้มนุษย์สูญพันธ์อย่างที่เคยเกิดกับไดโนเสาร์มาแล้ว เกี่ยวกับเรื่องนี้ นาซ่าก็กล่าวว่า การที่อุกาบาตรพุ่งชนโลกนั้นเป็นเรื่องที่เคยเกิดขึ้นและสามารถเกิดขึ้นได้อีกในอนาคต แต่การที่อุกาบาตรขนาดใหญ่จะมาชนนั้นเป็นเรื่องที่ยากยิ่ง องค์การนาซ่ายังได้ระบุว่า การที่อุกาบาตรจะชนโลกในปี 2012นั้นเป็นไปไม่ได้ เพราะทางองค์การนาซ่าได้ตั้งทีมสำรวจและตรวจสอบเพื่อเตรียมการป้องกันหากจะมีอุกาบาตเข้ามาในวงโคจรและอาจจะทำอันตรายแก่โลกได้ สิ่งนี้เป็นหน้าที่หลักอย่างนึงของนาซ่า เพราะฉะนั้นหากมีอุกาบาตขนาดใหญ่มุ่งมาที่โลก และสามารถสร้างความเสียหายกับโลกของเรา นาซ่าก็จะต้องออกมาประกาศเตือนระบุถึงการค้นพบและหาทางป้องกันอันตรายอย่างแน่นอน แต่ว่าในปัจจุบันยังไม่มีการค้นพบอุกาบาตรที่จะสามารถสร้างอันตรายให้แก่โลกได้อย่างที่มีคนอ้างกล่าวถึง

เกี่ยวกับเหตุการ์ณทางธรรมชาติที่ไม่ธรรมดาและหายากยิ่ง อย่างการที่ ดวงอาทิตย์และโลกจะมาเรียงอยู่ในระนาบเดียวกับใจกลางของทางช้างเผือกเป็นครั้งแรกในรอบ 25,800 ปี มีคนกล่าวว่านี่หมายถึง พลังงานทุกประเภทจากใจกลางของทางช้างเผือกจะถาโถมเข้าปะทะกับพลังงาน ทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็นของโลกในวันที่ 21 ธ.ค. 2012 และนี่จะทำให้เกิด มหันตภัยโลกครั้งใหญ่ หรืออาจจะเกิดหลุมดำขึ้นได้

เกี่ยวกับเรื่องนี้นาซ่าได้ออกมาแถลงว่าจะไม่มีการเรียงตัวของโลกและพระอาทิตย์ไปอีกหลายสิบปี และแม้จะเกิดขึ้นจริง ก็จะมีผลกระทบเพียงน้อยนิด ไม่ได้เป็นอันตราย อะไร นอกจากนี้นาซ่ายังกล่าวอีกว่าปรกติในช่วงเดือนธันวาคมของทุกปีโลกและดวงอาทิตย์จะเรียงตัวกันเกือบจะตรงกึ่งกลางของทางช้างเผือกอยู่แล้ว นี่เป็นเหตุการณ์ประจำที่เกิดทุกปีที่แทบจะไม่มีผลอะไร

พายุสุริยะก็เป็นอีกเรื่องที่มีคนเชื่อกันว่า จะเกิดขึ้นในปี 2012 และสิ่งนี้จะทำอันตรายแก่โลกและมนุษยชาติ พายุสุริยะคือกระแสของอนุภาคพลังงาน สูงที่พัดมาจากดวงอาทิตย์ด้วยปริมาณและความเร็วสูงกว่าระดับปกติ อนุภาคนี้มีทั้งอิเล็กตรอนและโปรตอน เป็นตัวการทำให้เกิดแสงเหนือใต้ และพายุแม่เหล็ก ซึ่งส่งผลต่อดาวเทียม ยานอวกาศ และระบบสายส่งบนโลกพายุสุริยะทั่วไปแล้วจะไม่ ส่งผลโดยตรงต่อโลกและสิ่งมีชีวิตบนโลก เนื่องจากโลกมีบรรยากาศและสนามแม่เหล็ก คุ้มกันอยู่ มีเพียงนักบินอวกาศที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ในอวกาศเท่านั้นที่อาจได้รับอันตรายทั้งจากพายุสุริยะและรังสีจากดวงอาทิตย์

ในอดีตเกิดพายุสุริยะให้เห็นแล้วหลายครั้ง เช่น ใน ค.ศ. 1859 พายุสุริยะทำให้เกิดเพลิงไหม้หลายแห่งในยุโรปและ อเมริกา ใน พ.ศ. 2532 พายุสุริยะก็เคยทำให้หม้อแปลงของไฟฟ้าระเบิดจนทำให้ไฟดับทั่วทั้งจังหวัดควิเบกของแคนาดามาแล้ว

พายุสุริยะเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นเกือบตลอดเวลา และโดยเฉลี่ยจะเกิดครั้งใหญ่ในทุก 11 ปี ซึ่งครั้งต่อไปก็น่ามีกำหนดราว 2012-2014 จริง แต่ในปัจจุบันนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ได้พัฒนาดาวเทียมและเครื่องจักรต่างๆเพื่อป้องกันปัญหาจากพายุสุริยะแล้ว เพราะฉะนั้นเชื่อว่าครั้งนี้ก็คงจะไม่ส่งผลกระทบมากกว่าการรบกวนคลื่นสัญญาณต่างๆเท่านั้น

ยังมีความเชื่อที่อ้างข้อมูลทางธรณีวิทยาว่า ปี 2012 คือปีที่ Super Volcano หรือภูเขาไฟที่ซ่อนอยู่ใต้พื้นที่ของอุทยานแห่งชาติ Yellowstone จะปะทุขึ้นและจะทำลายล้างโลก หลายคนคงเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับ Supervolcano มาบ้างแต่สำหรับใครที่ยังไม่รู้ไม่เคยได้ยินผมก็จะขอแจกแจงให้ฟังตามที่ผมได้ศึกษาและค้นคว้าข้อมูลมา

Supervolcano แตกต่างจากภูเขาไฟทั่วไปที่เรารู้จัก คือไม่ได้มีลักษณะเป็นปล่องภูเขาไฟ แต่มันซ่อนตัวอยู่ลึกใต้พื้นดิน ภูเขาไฟโดยทั่วไปเกิดจากการที่หินละลายใต้เปลือกโลก(Magma) ถูกแรงดันมหาศาลภายในโลกผลักดันให้ปะทุออกมาบนผิวโลก แต่สำหรับ Supervolcano นั้นแทนที่หินละลายเหล่านี้จะระเบิดออกมาที่ผิวโลก มันจะสะสมกันก่อนเป็นเวลาหลายพันปีจนกลายเป็นบ่อหินละลาย หรือที่เรียกกันว่า Magma chamber ขนาดยักษ์ และจะทับถมกันจนหนาหลายสิบกิโลเมตร ต่างจาก ภูเขาไฟธรรมดาที่มีความหนาไม่กี่กิโลเมตร ซึ่งมันจะดูดซับเอาก๊าซต่างๆ เช่น ก๊าซซัลเฟอร์ไดอ๊อกไซด์ และ คารบอนไดอ๊อกไซด์ไว้ ก๊าซเหล่านี้เมื่อสะสมกันเวลาหลายๆ พันปีก็จะเกิดแรงดันมหาศาล และเมื่อถึงจุดๆหนึ่งก็จะระเบิดประทุขึ้นมาเหนือผิวโลก ด้วยความรุนแรงมากกว่าการระเบิดจากภูเขาไฟธรรมดาหลายร้อยเท่า เมื่อ Supervolcano ประทุขึ้นมันจะพ่นหินละลายออกสู่ผิวโลกด้วยความเร็วสูง Magma ที่สะสมอยู่ในใต้ดินจะถูกพ่นออกมาและหมดไปอย่างรวดเร็วทำให้เปลือกโลกที่อยู่ข้างบนยุบตัวลงไป เกิดเป็นหลุมขนาดยักษ์ เหมือนกับหลุมที่เกิดจากการพุ่งชน ของอุกกาบาต ซึ่งนักธรณีวิทยาเรียกหลุมที่เกิดจากการระเบิดของ Supervolcano ว่า Caldera นอกจากนั้นเถ้าถ่านภูเขาไฟจากการระเบิดครั้งใหญ่นี้จะปกคลุมบรรยากาศ ก๊าซจำพวกซัลเฟอร์ไดออกไซด์จะสะท้อนแสงอาทิตย์ไม่ให้ตกลงมาสู่พื้นโลกได้เต็มที่ ทำให้อุณหภมิโลกลดลง อย่างรวดเร็ว เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่าฤดูหนาวนิวเคลียร์ ( nuclear winter )

เรื่องราวของ Supervolcano นั้นเป็นเรื่องจริงที่พิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ แต่เรื่องการที่มันจะปะทุขึ้นในปี 2012 นั้นเป็นไปไม่ได้ และถึงมันจะระเบิดขึ้นมาก็ไม่รุนแรงขนาดจะทำลายโลกใบนี้ หรือทำลายล้างมนุษยชนได้ เถ้าถ่านจากการปะทุครั้งล่าสุดเมื่อ ราว 640,000 ปีก่อนนั้น นั้นได้ปกคลุมฝั่งพื้นที่ตะวันตกของทวีปอเมริกาเหนือไว้เกือบทั้งหมด พื้นที่ของ Yellowstone นั้นทั้งเกือบทั้งหมดเป็นหลุมที่เกิดจากการระเบิดของ supervolcano เมื่อครั้งอดีต เรื่องนี้ฟังแล้วเป็นสิ่งที่น่ากลัวยิ่งนัก แต่ก็ชี้ให้เห็นว่าการปะทุของ supervolcano นั้นไม่สามรถทำลายโลกได้ เพราะเคยเกิดมาแล้วหลายครั้งในอดีต แต่การระเบิดก็ไม่ได้ทำลายโลกไป นักวิทยาศาสตร์กล่าวว่า supervolcano นี้ยังจะไม่ปะทุไปอีกนานและเลิกกังวลได้ว่ามันจะระเบิดในปี 2012 แม้บริเวณ Yellowstone จะมีกลิ่นของสารต่างๆเช่น กำมะถันแรงมากแต่ก็เป็นเรื่องธรรมดาของภูเขาไฟที่ยังไม่ดับ เรื่องกลิ่นกำมะถันนี้จึงไม่ใช้สิ่ง ชี้ให้เห็นว่ามีโอกาสปะทุในเร็วๆนี้อย่างที่มีคนนำออกมากล่าวกันอย่างแน่นอน

ความจริงยังมีเรื่องราวที่ผู้คนกล่าวอ้างถึงวันสิ้นโลกอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นคำทำนายชุดใหม่ที่เพิ่งค้นพบของ นอสตรามุส ที่เรียกว่า Lost book of Nostradamus พุทธทำนายที่กล่าวว่าโลกจะเกิดโกลาหลใหญ่ในช่วงกึ่งพุทธกาลคือตั้งแต่ปีพ.ศ.2500 ซึ่งหากมองย้อนไปแล้วจะพบว่าโลกกำลังโกลาหลจริงๆ เรื่องราวเหล่านี้หากทุกท่านยังสนใจใคร่รู้ผมก็จะรวบรวมมานำเสนอในโอกาสต่อไป

แต่สิ่งสำคัญที่เราควรจะนำมาคิดให้ดีก็คือ ถ้าโลกของเรากำลังจะดับสูญจริงก่อนเวลาอันควรนั้นสาเหตุใหญ่น่าจะมาจากฝีมือของมนุษย์เรานี่เอง ภาวะโลกร้อนที่กำลังเกิดขึ้นและส่งผลกระทบต่อโลกจนเห็นได้ชัดในปัจจุบันและทุกประเทศทั่วโลกมีการประชุมรณรงค์ให้ทุกคนช่วยกันลดภาวะโลกร้อนเป็นหลักฐานที่ยืนยันอย่างชัดเจนว่าเราได้ทำลายโลกและยังกำลังทำลายโลกอยู่ นี่คือเรื่องใหญ่ที่เราทุกคนควรจะรีบช่วยกันแก้ไขอย่างจริงจังมากกว่าใช่ไหมครับ พบกันใหม่ในฉบับหน้า สวัสดีครับ